วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เล่มที่ 3 ตอนที่ 6 อากาศหนาวอันเลวร้าย (A Bad Cold)

เล่มที่ 3 ตอนที่ 6 อากาศหนาวอันเลวร้าย (A Bad Cold)


มีเวลาแค่ 1 วัน…
นี่แทบจะไม่มีเวลาให้เขาได้เตรียมตัวเลย!
“รับซื้อเสื้อเกราะและอาวุธ  ซื้อในราคาน้อยกว่า  1 เหรียญทอง”
“หาซื้อสมุนไพรและเครื่องปรุงอาหารในจำนวนไม่จำกัด  ช่วนกรุณาขายถูกๆด้วย”
วีดซื้อของพวกนี้ในปริมาณมาก
เมแพนออกจากปาร์ตี้ไปโดยที่วีดเข้าใจเหตุผลของเขาเป็นอย่างดี
“ข้ากำลังจะต้องทำการเทเลพอร์ตผ่านทางเกท เนื่องด้วยข้าจำเป็นจะต้องไปล่าในที่ห่างไกลเพื่อทำเควสๆหนึ่ง”
“ยินดีด้วย, ไม่ทราบว่าจะให้ข้าไปกับท่านด้วยได้มั๊ย?”
“อืม, ข้าจำเป็นต้องไปเพียงลำพัง…”
“ช่างแย่เสียจริง ข้าอยากเดินทางร่วมกับท่านยิ่งนัก …”
“ความยากของเควสมันเป็นระดับ B…”
“… เอ่อ  งั้นขอให้ท่านโชคดีละกัน ไว้พบกันใหม่”
เมแพนมีความเชี่ยวชาญในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ในขณะที่วีดไม่มีสกิลที่จำเป็นสำหรับการเป็นพ่อค้า
อย่างไรก็ดี คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักหากต้องนำเมแพนร่วมทางไปด้วย เนื่องด้วยเขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินทางไปด้วยกัน ดังนั้นวีดจึงได้มุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งเฟรย่าในช่วงท้ายของวัน
ภายในวิหารมีหัวหน้านักบวช และ กลุ่มพาลาดินอยู่
“สวัสดี ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนักที่ได้เห็นท่านมาถึง”
วีดสั่นสะท้านเมื่อหัวหน้านักบวชกล่าวจบ
นี่มันแปลกดีแท้? ชั้นคิดว่าหัวหน้านักบวช ออซซาน (Ossan) น่าจะเป็นคนที่มีเมตตาเสียอีก
มันช่างเป็นสถานการณ์ที่บีบคั้นและกดดันจนไม่มีโอกาสให้หนีได้เลยแม้แต่น้อย
วีดไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ให้กับเควสแม้ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่จนไม่เหลือทางถอยก็ตาม
ทว่าหัวหน้านักบวชได้กล่าวไว้เมื่อวันก่อนว่า
“นี่เป็นเควสที่มีความสำคัญอย่างมาก  ข้าไม่สามารถคาดการณ์ถึงอนาคตของมวลมนุษยชาติได้  แต่สิ่งที่ข้ารู้คือมันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ให้เลวร้ายภายในไม่กี่วันนี้”
วีดอยากที่จะพยักหน้าเห็นด้วยเสียเหลือเกินกับสิ่งที่เขาเผชิญนี้!
มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมายังวิหารอีกเลยก็เป็นได้
แต่หัวหน้านักบวชกลับทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีก
“ข้าก่อตั้งวิหารแห่งเฟรย่าในเมืองนี้  ข้าเชื่อมั่นว่าท่านคือวีรบุรุษในตำนานและเชื่อว่าท่านจะค้นพบสมบัติได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“วันพรุ่งนี้ ณ เวลาเดียวกันนี้ เมื่อท่านมาถึง นักบวชในวิหารแห่งนี้จะอยู่ภายใต้การบัญชาของท่าน  หากท่านนำพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย  ท่านจะได้รับรางวัลโดยประเมินจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของพวกเขา  ไม่ต้องกังวลหรือตื่นเต้นเรื่องของพรุ่งนี้ให้มากนัก  อีกไม่นานเราก็จะได้พบกันอีก”
“…”
ทุกอย่างถูกจัดฉากไว้หมดโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลย
นครอิสระโซมุเรน, แต่นี่เขากำลังสูญเสียอิสรภาพ! เขารู้สึกเหมือนอยู่ในคุกเลย  จะดีหน่อยก็ตรงที่ยังไม่ต้องอยู่ในห้องขัง
มงกุฎแห่งฟาร์โก้ถูกขโมยไปจากวิหารแห่งเฟรย่าโดยที่วีดไม่ได้รับอนุญาติให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เล่นคนอื่น  สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือใช้บุคลากรที่หัวหน้านักบวชเตรียมไว้ให้เท่านั้น
“เอาล่ะ, ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักผู้ที่จะไปทำการปลดปล่อยเหล่าพาลาดินร่วมกับท่าน
หัวหน้านักบวชใช้กุญแจเล็กๆเปิดประตูออก  ด้านในปรากฎเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่ใส่หมวกสีขาวและเสื้อคลุมนักบวช
“นี่คือผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้านักบวชคนต่อไปของพวกเรา อัลเวรอน (Alveron)”
“ยินดีที่ได้พบท่าน วีด”
อัลเวรอน ไม่ได้เป็นผู้เล่น แต่เขาเป็น NPC.
วีดและอัลเวรอนมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของวิหาร  ภายในส่วนกลางของสิ่งปลูกสร้างปรากฎเป็นเทเลพอร์ทเกทที่แกะสลักไว้ได้อักษรรูนอันซับซ้อนไว้บนพื้นดิน
เฮือก!
วีด กลืนน้ำลายลงคอ
การเดินทางโดยเทเลพอร์ทเกทจะส่งเขาไปถึง โมรา ได้ภายในพริบตา ซึ่งแน่นอนเขาไม่มีวันลืมว่าที่เมืองโมรานั้น เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์อันทรงพลังอำนาจและน่าหวาดหวั่น
ไม่ใช่ทั้งหมดของทวีปเวอร์เซลล์ที่จะมีผู้เล่นอยู่
นักผจญภัยได้ค้นพบส่วนเหนือของทวีปแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากมอนสเตอร์แถบนั้นแข็งแกร่งเกินไป
เขายืนอยู่ที่ตรงนั้นในขณะที่พวกนั้นเริ่มกระบวนการเทเลพอร์ท
“พวกเราจะต้องช่วยเหลืออัศวินของพวกเรากลับมาให้ได้ !”
หัวหน้านักบวชและเหล่านักบวชได้รวบรวม มานา ปริมาณมหาศาลเพื่อทำให้เทเลพอร์ทเกททำงาน
มีแสงพุ่งออกมาจากเกทเข้ามารายล้อมวีดและอัลเวรอน  ไม่นานนักร่างของพวกเขาทั้งสองก็หายไปจากวิหารแห่งเฟรย่า
***********
เมื่อ 150 ปีที่แล้ว จักรวรรดินิปเปิลเฮม (Nipplehaim Empire) ซึ่งตั้งอยู่ในตอนเหนือของทวีปถูกทำลายล้างโดยมอนสเตอร์  โดยในขณะที่เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงกำลังอพยพหนีอยู่นั้นเอง เหล่ากองทัพ เทมพลาร์ (Templar) ก็ได้ถูกกวาดล้างไป  หลังจากนั้นเป็นต้นมาจักรวรรดินิปเปิลเฮมก็กลายเป็นอาณาเขตที่มีมอนสเตอร์อาศัยอยู่เต็มไปหมด
ณ ที่แห่งนั้นมีกฎเพียงข้อเดียว  ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่รอด  ผู้แข็งแกร่งจะได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง
 “ที่นี่สินะ โมรา”
วีดปรากฎกายขึ้นที่ปากถ้ำ
เทเลพอร์ทเกทของวิหารแห่งเฟรย่าถูกเชื่อมต่อกับถ้ำนี่เอง
“โอย, หนาวชะมัด!”
ทันทีที่วีดมาถึงและออกไปบริเวณนอกถ้ำ เขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นยะเยือก
ในแต่ละพื้นที่ในทวีปก็มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันออกไป
โมรา ที่อยู่ทางเหนือเป็นพื้นที่มีมีอากาศหนาวเย็น
ในบริเวณนี้จะมีน้ำแข็งปกคลุมทั่วทั้งฤดูกาล
“ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะหนาวขนาดนี้ …”
ร่างกายของวีดเริ่มที่จะสั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากความเย็นที่ได้สัมผัส
ร่างกายเขาเริ่มที่จะหดตัวลงจากกระแสลมที่พัดผ่านเข้าสู่คอเสื้อของเขา
-คุณเป็นหวัด ร่างกายจะเริ่มแข็งตัวและความสามารถทางกายภาพลดลง 5%.
อัตราการลดลงของพลังงานในร่างกายลดลงเร็วขึ้น  25%.
คำแนะนำที่ใช้เอาชนะความหนาวเย็นคือให้สวมใส่เสื้อผ้าที่หนาหรือผิงกองไฟที่อบอุ่น
และหากได้รับอากาศหนาวเย็นรุนแรงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะยิ่งทำให้แย่ไปกว่านี้อีก
วีดหนาวสั่นงั่กๆ
ข้อความบอกไว้ว่าอาการหวัดสามารถรุนแรงขึ้นไปได้กว่านี้อีก
แต่เขาไม่สามารถอยู่ในถ้ำได้ตลอดไปหรอกนะ!
เขาต้องออกไปข้างนอกเพื่อสำรวจรอบๆบริเวณ
เขามองรอบๆตัวที่มีหิมะปกคลุมอยู่ ผ่านไปยังเมืองที่ถูกทำลายลงไป มันเป็นเมืองร้างที่สาบสูญ
มองผ่านไปซัก 2 ใน 3 ของหมู่บ้านก็เป็นแมนชั่นของพวกชนชั้นสูง
บริเวณด้านบนถูกทับถมไปด้วยหิมะที่หนาหนัก  รอบแตกร้าวของหลังคาอาคารปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ
และแม้พวกเครื่องตกแต่งภายในบ้านจะแทบว่างเปล่า แต่ก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์อยู่บ้างหรอมแหรม มันดูเหมือนบ้านเหล่านั้นไม่มีคนอยู่อาศัยและดูแลรักษามาเป็นเวลานาน
“นี่ต้องเป็นหมู่บ้าน โมรา แน่ๆ”
วีดจ้องไปทั่วทั้งเมือง
เขาเห็นสิ่งปลูกสร้างสีดำขนาดใหญ่
มันมีรั้วขนาดใหญ่ล้อมรอบและไม่ปรากฎแสงสว่างใดๆเล็ดรอดออกมา  แม้แต่หน้าต่างก็ปิดสนิท
มีอีกาบินวนไปมาเหนือหน้าต่าง
มันคือ ปราสาท โมรา
ปราสาทดำอิฐถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน รวมทั้งอีกาดำบินวนอยู่รอบปราสาท  ช่าง เป็นส่วนผสมแปลกประหลาดที่จุดประกายแรงบันดาลใจของวีดขึ้นมาแวบหนึ่ง
โดยปกติทั่วไปแล้ว นกจะโดนหนาวและแข็งตายได้ง่าย  แต่ทว่าอีกานั้นมีความทรหดสูงกว่า  และท้ายที่สุดอีกาเหล่านั้นได้กลายมาเป็นพวกแวมไพร์.
และเนื่องด้วยอีกาได้กลายเป็นแวมไพร์ พวกมันจึงไม่รู้จักตายและยังสามารถเคลื่อนไหวปีกของมันได้
“ดูเหมือนนี่จะเป็นที่ๆ แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์อยู่กัน  งานนี้ไม่หมูแฮะ”
วีดเสร็จสิ้นภารกิจสำรวจ และได้กลับไปยังถ้ำ
-อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น
ถ้ำที่เทเลพอร์ทเกท อยู่มีอากาศที่อบอุ่นกว่าเล็กน้อย ซึ่งนับเป็นโชคดีที่ลมหนาวไม่ได้พัดเข้ามาภายในถ้ำ
“งั้น นี่ก็คงเป็น อาณาเขตของ โมรา”
ในอดีต อาณาเขตนี้ถูกปกครองโดย ดยุด โมรา ผู้เป็นลุงของราชินี นาตาลยา
มันเป็นสถานที่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความมั่งคั่งและคุณภาพของหนังสัตว์และเสื้อผ้าชั้นเยี่ยม  แต่ตอนนี้มันถูกตีแตกพ่ายเหลือเพียงเมืองร้าง
ไม่มีมนุษย์หน้าไหนเหลือรอดอยู่ มันเป็นเมืองของภูติผีปีศาจ!
ที่เมือง มอร์เดรด (Mordred) อันเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ นิปเปิลเฮม นั้น ผู้ที่เคยอยู่อาศัยถูกฆ่าล้างบางจนหมดสิ้น
สิ่งที่เขาต้องทำก็ง่ายๆ เพียงแค่ช่วยเหลือเหล่าพาลาดิน, กำจัดกลุ่ม แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ ออกไปจากเมือง แล้วก็ค้นหามงกุฎแห่งฟาร์โก้  มันก็แค่นั้น
ทว่าวีดกลับรู้สึกท้อแท้กับสภาพความเป็นจริงที่เห็น
เขาเป็นประติมากรแสงจันทร์
การที่จะทำเควสระดับสูงอย่างนี้  เขาต้องการอาชีพสุดยอดที่จะช่วยกลบระดับของความแตกต่างของ 68 เลเวลที่เขายังขาดอยู่  เขารู้สึกเสียดายที่เขาไม่เก็บค่าประสบการณ์ให้มากกว่านี้ก่อนที่เขาจะกลับมาจากเมืองลอยฟ้า ลาเวียส
“งั้นตอนนี้เราจะทำอะไรดี?”
วีดกลับไปยังถ้ำเพื่อถามคำถามบางอย่างกับ อัลเวรอน  นับเป็นโชคดีที่ อัลเวรอน มีความเชื่อมั่นในตัววีดอย่างสนิทใจและรับฟังเขาเป็นอย่างดี
“งั้นก่อนที่เราจะเริ่มต้นกัน  ชั้นอยากให้นายนั่งลงแล้วก็ผ่อนคลายลงนิดนึง  ชั้นเชื่อว่าชั้นยังไม่ได้แนะนำตัวกับนายอย่างเป็นทางการเลย , ชั้นชื่อวีด  ชั้นมีอายุมากกว่านาย เพราะงั้นก็ให้ความเคารพชั้นหน่อยละกัน ตกลงมั๊ย”
“ได้ครับ”
วีดพูดจาสุภาพชึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งถามอย่างระมัดระวัง
อัลเวรอนดูเหมือนเด็กผู้ชายคนนึง  เขาจึงไม่ต้องการให้มันดูเงอะงะนักหากว่าเขาสุภาพจนเกินไป
‘ก็แค่เด็กคนนึง…’
วีดอยากให้การล่ามอนสเตอร์มันยากน้อยกว่านี้
“นี่เป็นงานที่ยากมาก เพราะงั้นชั้นอยากรู้ว่าเลเวลของนายอยู่ที่เท่าไร …”
“มันอยู่ที่ 320.”
“…”
ผู้สืบทอดตำแหน่งโป๊ป คนต่อไปช่างมีเลเวลที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ
วีด ไม่รู้มาก่อนเลยว่า NPC สามารถมีเลเวลที่สูงขนาดนี้ได้
อย่างไรก็ดี, นักบวชไม่ได้มีทักษะในการต่อสู้มากนัก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการเสริมสร้างอย่างรวดเร็วที่สุด
คำถามถัดมาไม่ได้เกี่ยวกับเลเวล แต่เป็นเรื่องของ fame  จากการทำเควสที่ผ่านมาสำเร็จ fame ของวีดได้เพิ่ลสูงขึ้นจนเกิน 2000 ไปเรียบร้อย
“เลเวลของนายถือว่าสูงทีเดียว แต่ชั้นอยากรู้ว่าจริงๆแล้วนายใช้ชีวิตที่ผ่านมาแบบไหน  ค่า fame ของนายสูงแค่ไหนล่ะ?”
“ขอดูก่อนนะ,  มันอยู่ที่ 150,002.”
“…”
วีดพยายามที่จะยอมรับความสามารถของ NPC ในยามที่เขาพูดกับอัลเวรอน
แต่เนื่องจากอัลเวรอนดูยังไงก็เหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนนึงทำให้เขาลืมไปว่า นี่เป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้านักบวชคนต่อไป
“มีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอก พักผ่อนกันเถอะ”
เหมือนเด็กตัวเล็กๆคนนึง อัลเวรอนไปนั่งอยู่ที่มุมถ้ำ เขานั่งอยู่บนเสื้อคลุมสีขาว อากัปกิริยาแสดงให้เห็นถึงการจดจ่อต่อการบำเพ็ญเพียรภาวนา
“ตอนนี้เราก็เตรียมโน่นนี่ไว้หมดแล้ว  ได้เวลาเริ่มลงมือกันซะที”
วีดกางผ้าห่มลงบนพื้น
จริงๆแล้วผ้าห่มเป็นไอเทมที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางเพราะมันช่วยปกป้องผลกระทบจากความหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี
‘ชั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องเตรียมพวกเสื้อผ้าอะไรอย่างนี้มาด้วย’
ราชอาณาจักรโรเซนไฮม์และ นครอิสระโซมุเรน ต่างอยู่ในอาณาเขตอบอุ่นทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกเสื้อผ้าอะไรเป็นพิเศษ  เขาไม่เคยคิดเลยว่าการไม่พกพาเครื่องนุ่งห่มพวกนั้นจะมาก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมาได้
ร่างกายของวีดสั่นไปด้วยในขณะที่เปิดกระเป๋าเป้เพื่อนำไอเทมของเขาออกมา
เขานำอาวุธและชุดเกราะมูลค่า 1 เหรียญทองที่เค้ากว้านซื้อจากนครอิสระออกมา
แคร้ง!
วีดทุบทำลายเกราะอกที่หยิบออกมาด้วยกำปั้นของเขาซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งมันแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ  ไอเทมพวกนี้มีราคาถูก จึงมีค่าความคงทนต่ำและแตกเสียหายอย่างรวดเร็ว
“งั้นเราก็มาทำนี่ต่อ”
วีดนำฆ้อนที่ซื้อมาจากร้านตีเหล็กใน นครอิสระซมุเรน ออกมาแล้วจึงทำการซ่อมเกราะอก  ด้วยการกระทำเช่นนี้ความสามารถในการสร้างและทักษะที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มขึ้นอีก 10%!
 “ซ่อมแซม”
เขาทุบฆ้อนลงไปยังเกราะอก
การฟื้นฟูความคงทนของเกราะอกนั้นค่อนข้างยาก  เขาตีแผ่นเหล็กอีก 2-3 ครั้งจนกระทั่งบริเวณที่ได้รับความเสียหายนั้นในรับการซ่อมแซม
จากนั้นวีดก็ทำการทำลายชุดเกราะและเริ่มซ่อมมันอีกครั้งหนึ่ง
อีก 10 นาทีต่อมาก็มีหน้าต่างข้อความปรากฏขึ้น
-ความเชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมเพิ่มขึ้น
สืบเนื่องจากการได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ความคงทนของเกราะอกได้ลดหายไปอย่างถาวร
-ไอเทมได้สูญหายเนื่องจากได้รับการทำลายบ่อยครั้ง
เกราะอกที่วีดถือในมือได้ถูกทำลายและท้ายที่สุดเหลือเพียงซากชิ้นเล็กชิ้นน้อย
การซ่อมแซมอุปกรณ์สามารถส่งเสริมการพัฒณาทักษะได้ในบางครั้ง  แต่หากมันถูกทำให้เสียหายบ่อยครั้งจนเกินไปคุณก็คงจะไม่ใช้เกราะอกที่เหล็กของมันด้อยค่าลงอย่างนั้นหรอก
วีดยังคงทำลายเกราะอกที่มีทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง  จากนั้นก็ต่อด้วย สนับขา และเมื่อของพวกนี้ไม่เหลือซาก เขาก็หยิบหน้ากากออกมาเป็นชิ้นต่อไป
เวลาผ่านไป 8 ชั่วโมง!
วีดได้รับค่าความเชี่ยวชาญในการซ่อมเพิ่มขึ้น 10% โดยคิดเป็นต้นทุนประมาณ 100 เหรียญทอง พวกเศษซากของไอเทมที่ใช้ไปถูกวางทับซ้อนกันจนสูงถึงเพดาน
[ทักษะการซ่อมแซม: ระดับ 9, 89%]
อีกแค่ 11% เท่านั้น ทักษะการซ่อมแซมของเขาก็จะบรรลุถึงขั้นกลาง  เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถซ่อมให้ความคงทนของอุปกรณ์กลับคืนสู่ค่าสูงสุดได้
“ฮัดชิ้ว!”
วีดจามออกมา เขาได้ทำการซ่อมไอเทมเป็นเวลาต่อเนื่องโดยไม่ได้หยุดพัก  จมูกของเขามีน้ำมูกไหลและไม่นานนักเขาก็มีอาการเจ็บคอ
-คุณเป็นหวัด
ความสามารถของร่างกายลดลง 20%
ผลของทักษะลดลง 30%
อาการหวัดสามารถก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาได้
ค่ะพลังชีวิตและมานาลดลง
อาจก่อให้เกิดความเสียหายในการแกะสลักเมื่อทำงานในขณะที่เป็นหวัดอยู่
“…”
วีดถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เขาก็แค่เป็นหวัดนิดหน่อยแต่ตอนนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้นกับการที่เขานั่งอยู่ที่ๆหนึ่งเป็นเวลานานมากโดยไม่ได้ขยับไปไหน
“บ้า เอ้ย!”
มันมีเรื่องที่ต้องระวังเป็นพิเศษ 3 อย่างเวลาที่นอนเพียงลำพัง
ความอดอยาก, ความหนาวเย็น และ อาการเจ็บป่วย!
โดยเฉพาะการหิวโหยในสภาพแวดล้อมที่เหน็บหนาวยิ่งทำให้ลำบากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะขนมปังบาร์เลย์ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
อาการหวัดส่งผลกระทบต่อทักษะของเขา มันทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อ  วีดรู้สีกหดหู่มากที่เขาดันมาเป็นหวัดซะได้
‘มันไม่น่าเป็นไปได้เลย’
วีด ถอนหายใจออกมา
ชีวิตมันยุ่งยากตั้งแต่เขาเริ่มเล่นเกมนี้  เขาต้องไปเข้าเรียนคลาสที่ตัวเองไม่ชอบแล้วยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากอย่างการเป็นหวัดในตอนนี้อีก
วีด รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
‘อัลเวรอนก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเรา’
อัลเวรอนกำลังนั่งอยู่อีกด้านนึงของถ้ำในชุดเสื้อคลุมสีขาว
‘เค้าคงรู้สึกหนาวกว่าเราเป็นแน่ เพราะเค้าใส่แค่เสื้อคลุมตัวเดียว’
การที่เขาอยู่ในสภาพที่ดีกว่า อัลเวรอน ทำให้วีดรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย
แต่วีดไม่รู้หรอกว่าเสื้อคลุมของอัลเวรอนนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยป้องกันความเย็นแทรกซึม
************
วีดออกจากแคปซูลเพื่อที่เขาจะได้เริ่มทำความสะอาดบ้าน
เขาปัดหยากไย่ จากมุมห้อง, เช็ดกระจก, ขัดห้องน้ำ แล้วก็เปลี่ยนหลอดไฟ
วันนี้เป็นวันทำความสะอาด
“เราต้องทำให้บ้านของย่า ไม่เละเทะจนเกินไป”
ลี ฮุน พึมพำกับตัวเองในขณะที่ถูพื้นไปเรื่อยๆ
ย่าของเขาบอกเขาตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลว่า ดูเหมือนเธอจะเป็นโรคไขข้อเสื่อม (Degenerative arthritis)
มันเป็นผลจากการที่ทำงานหนักที่ใช้ข้อต่อมากเกินไปในตอนที่ยังอายุไม่มากนัก
หมอที่โรงพยาบาลบอกเธอให้ไม่ต้องกังวลใจจนเกินไป
“การแพทย์สมัยใหม่สามารถรักษาอาการระดับนี้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆเลยครับ  ไม่ต้องเป็นห่วง”
ลี ฮุน ยินดีที่จะจ่ายเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ทั้งหมดแม้ว่ายาที่ใช้ในการฟื้นฟูข้อต่อจะมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม
อย่างไรก็ดี อาการป่วยของย่าร้ายแรงกว่าที่แพทย์ได้วินิจฉัยไว้เบื้องต้น  เนื่องด้วยเธอไม่ได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทำให้โรคร้ายขยายตัวไปอย่างมาก  ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งลุกลามไปทั่วร่างของเธอ
ในยุคนี้ไม่มีใครเสียชีวิตจากมะเร็งอีกต่อไป  แต่นั่นหมายถึงกรณีที่คุณได้รับการผ่าตัดและอยู่ในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลาหลายเดือน
‘ชั้นต้องประหยัดเงินเอาไว้; ชั้นไม่สามารถหยุดหาเงินได้’
นอกเหนือจากเงินที่ได้จากงานเทศกาลโรงเรียนแล้ว เส้นทางราชันย์ ก็เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอีกทางหนึ่งของเขา
หนทางในการเข้าถึงรายได้ก้อนนี้มาถึงเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ตอนแรก  นี่ต้องขอบคุณการล่าใน ลาเวียส และเวปไซด์แลกเปลี่ยนไอเทมของ เส้นทางราชันย์
เมื่อลี ฮุนทำงานบ้านเสร็จก็เป็นเวลาที่น้องสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน
“วันนี้บ้านดูสะอาดจัง พี่เป็นคนทำความสะอาดมันเหรอ?”
“เอาน่า อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย  ย่ากำลังรอพวกเราไปเยี่ยมอยู่นะ”
ลี ฮุนพาน้องสาวของเขามาที่โรงพยาบาลเพื่อพบย่าของพวกเขา
“เป็นไงบ้างเด็กๆ”
“คุณย่าเป็นไงบ้างครับ เหงามั๊ยครับ?”
เนื่องด้วยฮุนใช้เวลาเกือบทั้งหมดของเขาอยู่ในแคปซูลเกมในขณะที่น้องสาวของเขาก็ต้องไปโรงเรียน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจ้างใครมาดูแลย่าของเขาเพราะเขาไม่มีเงินที่เพียงพอ
ลี ฮุนทำความสะอาดห้องพร้อมทั้งนำขยะไปทิ้ง  เมื่อเสร็จสิ้นเขาก็มานั่งใกล้ๆเตียงพร้อมทั้งกุมมือย่าของเขา
“ย่าขอโทษนะหลานรัก ที่ทำให้เธอต้องมาเยี่ยมที่นี่”
“…”
“ย่ามีเรื่องอยากจะขอซักเรื่องได้มั๊ย? หวังว่ามันคงจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงของหลาน”
“แน่นอนครับ ย่าบอกมาได้เลยครับว่าอยากได้อะไร”
“ว่ากันว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้  ย่าจะมีความสุขมากหากได้เห็นหลานจบ ม.ปลายเหมือนคนอื่นๆเค้า  หลานช่วยสอบเอา GED* มาให้ย่าหน่อยได้มั๊ย?”
(GED* = General Educational Development เป็นการสอบที่เทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายในประเทศไทย)
เขาเข้าใจดีว่าเธอต้องการอะไร
ตอนที่ลี ฮุน ต้องออกจากโรงเรียนนั้น น้องสาวของเขาถึงกับร้องไห้  แต่เมื่อเขาดึงดันเรื่องที่เขาจะเป็นต้องหยุดการเรียนเอาไว้ให้ได้ เธอก็ไม่พูดว่าอะไรอีกเลย
การถูกขู่กรรโชกและทำให้เสื่อมเสียหน้าจากพวกทวงหนี้หน้าเลือดพวกนั้นทำให้การศึกษาของเขาไม่สามารถเป็นไปอย่างปกติได้
มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่เขาไม่สามารถจบการศึกษาได้
ลี ฮุนจึงได้ตอบย่าของเขา
“ผมจะจบ GED ให้ได้ครับย่า”
ลี ฮุน มุ่งหน้ากลับบ้านเพียงลำพังโดยที่น้องสาวของเขายังอยู่ที่โรงพยาบาลต่อเพราะว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเธอจึงสามารถอยู่ต่อได้นานขึ้น
ลี ฮุน เองก็อยากจะอยู่ต่อและมีความสุขกับช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน  แต่เขามีบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องทำ
‘GED…ชั้นต้องศึกษาอะไรบ้างล่ะเนี่ย?’
ตอนที่เขายังเรียนอยู่นั้น เกรดของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย
‘ชั้นต้องไปซื้อหนังสือเรียนจากร้านหนังสือ … ไม่ใช่สิ , มันจะถูกกว่าถ้าเราไปซื้อพวกหนังสือมือสองมาใช้แทน’
เขาไปที่ร้านขายหนังสือมือสองที่เขารู้จักในเมืองซึ่งร้านนี้อยู่ติดกับโรงฝึกดาบที่เขาเคยมาฝึกเมื่อในอดีต
โรงฝึกดาบก็ยังคงอยู่ที่เดิม
“ย๊าก!”
“ฮึ่ย ย่าส์!”
เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นแว่วออกมา
ลี ฮุน รู้สึกแปลกใจจึงได้มุ่งหน้าไปยังโรงฝึก
***********
“ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครที่มีพรสวรรค์เลยในโรงฝึกของเรา”
อัน ฮุนโด (Ahn Hyundo) บ่นถึงฝีมือของลูกศิษย์ของตน
“นับตั้งแต่เราวางดาบแล้วมาเริ่มต้นสอนมานี่ก็ …”
อัน ฮุนโด รู้สึกถึงเงื่อนตายในใจเขา  ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม พวกนั้นกลับไม่เข้าใจถึงวิถีดาบที่เขาพยายามถ่านทอดให้
‘เพลงดาบนี้....  อีกไม่นานก็คงจะสาบสูญไปกับกาลเวลา.... และคงไม่มีใครอีกแล้วที่จะคู่ควรมาประชันเพลงดาบนี้กับชั้นอีก’
หัวใจของ อัน ฮุนโด เจ็บปวดเมื่อเขามองไปยังดาบที่แขวนอยู่บนผนัง  เขาเปิดโรงฝึกนี้ขึ้นมาเมื่อ 10 ปีที่แล้วพร้อมด้วยความคาดหวัง  ตอนนี้เด็กที่เขาสอนต่างก็โตเป็นวัยรุ่นกันแล้วทั้งนั้น
“อาจารย์!”
“มีอะไร? อะไรที่สำคัญขนาดทำให้เจ้าทำเสียงแตกตื่นได้ขนาดนั้น?”
“เขาอยู่ที่นี่!”
“นั่นใช่เค้ารึเปล่าน่ะ…?”
เพราะทุกคนต่างพากันพูดในเวลาเดียวกัน ทำให้เขาไม่สามารถจับใจความได้
ในช่วงเวลานั้นเองที่อัน ฮุนโด ได้คิดถึงใบหน้าที่คุ้นเคย
‘เด็กหนุ่มคนนั้น! คนที่เราจะให้เป็นผู้สืบทอดของเรา!’
ลี ฮุน เป็นผู้ที่ถูกเลือก
เขาไม่เคยทำให้ ฮุนโด ผิดหวังเลยนับตั้งแต่เขาเข้ามาที่โรงฝึก
อัน ฮุนโด หยุดยืนอยู่เพื่อฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“งั้น เขาก็มาที่โรงฝึกนี้?”
“ใช่ครับ ท่านอาจารย์”
“งั้นพวกเราไปดูกัน”
อัน ฮุนโดอยากเจอเด็กคนนั้นอีกครั้ง เขาอยากเห็นว่าคนที่เขาเลือกให้เป็นผู้สืบทอดของเขามีความสามารถขนาดไหน!
“แต่มันมีปัญหาเล็กน้อยครับ”
“มีอะไรงั้นรึ?”
“เขากำลังขอประลองดาบกับคนอื่นครับ”
“การที่เขาอยากจะประลองดาบมันจะเกิดปัญหาอะไรงั้นรึ? ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไรในเมื่อเจ้าพวกนั้นควรที่จะมีความแข็งแกร่งเพียงพอ”
“ขอรับ ,  ผมก็เห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นผมจึงได้ให้ ต๊อก ซุน (Dog Sun) เป็นคู่ประมือกับเขา  แต่มันกลับกลายเป็นชัยชนะข้างเดียวของลี ฮุน”
“อือ หืม!”
การฝึกฝนไม่มีคำว่าสิ้นสุด
เหล่าผู้ฝึกฝนในโรงฝึกได้เข้ามาฝึกปรือที่นี่เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว  แม้จะเป็นระยะเวลาที่จำกัดพวกเขาก็เริ่มที่จะมีความเชี่ยวชาญในการใช้ดาบบ้างแล้ว
ดังนั้นพวกนักเรียนเหล่านั้นนับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งไม่น้อยเลยทีเดียว
การกระประดาบกัน, พวกนักดาบระดับต้นจะพยายามหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บที่รุนแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญนั้นจะควบคุมกระแสการต่อสู้
“ชั้นไม่อยากจะเชื่อว่า ต๊อก ซุนจะเป็นฝ่ายแพ้ …”
“นั่นสิ, แถมยังใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีด้วยซ้ำ”
“ข้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับต๊อก ซุน  แต่เรื่องแพ้แค่นี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น  ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องตื่นเต้นนักหนา  มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นรึ?”
อัน ฮุนโด ถาม ชัง อิลฮุน (Chung Il Hoon) ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“หลังจากที่ ต๊อก ซุน พ่ายแพ้  ลี ฮุนก็ได้ทำการขอประลองกับคนอื่นต่อไป”
“พวกนั้นได้ศึกษาดาบมานานกว่า ต๊อก ซุน สินะ  งั้นเขาประลองกับใครเป็นคนต่อไปล่ะ …?”
“จัง กุ๊ก ครับ”
“จัง กุ๊ก ฝึกดาบมากว่า 6 ปีแล้ว  และเขาก็ไม่อยากสู้ด้วยเท่าไรเมื่อเห็นว่า ลี ฮุน เหน็ดเหนื่อยจากการสู้กับต๊อก ซุน ที่ผ่านมา”
“ผมพยายามให้เขาคิดใหม่อีกที  แต่ …”
“ทำไม เขาได้รับบาดเจ็บหนักงั้นรึ?”
“ไม่ครับ ครั้งนี้เขาก็ชนะอีก”
“โอ!”
อัน ฮุนโดไม่ได้มองคนผิดแม้แต่น้อย
‘เขาไม่สามารถปกปิดจิตวิญญาณนักสู้ของเขาได้  เขาจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก … มันเป็นความกระหายในความแข็งแกร่ง!’
คุณสมบัติเช่นนีเองที่ทำให้เขาชนะในการสู้กับ จัง กุ๊ก
“แต่ปัญหาที่จริงคือ จัง กุ๊ก เป็นแค่หนึ่งในคนที่เด็กคนนั้นประดาบด้วยครับ”
“มีใครอีกบ้างล่ะ?”
“ครับ ก็เป็นนักดาบฝึกหัด 6 คนครับ”
“เจ้าหมายถึงเด็กคนนั้นสู้ชนะอย่างต่อเนื่องมา 6 คนงั้นรึ?”
“พวกนั้นไม่สามารถทำอะไรเด็กคนนั้นได้เลยครับ”
“งั้นพวกเราไปดูเหตุการณ์กันหน่อยซิ”
บรรดาผู้ฝึกสอนและผู้ฝึกดาบในโรงฝึกต่างมารวมตัวกันเพื่อดูการประลอง
“ช่างอึดอะไรขนาดนี้ …!”
“นี่เป็นคนที่ 9 แล้วนะ!”
“เขาใช้พละกำลังได้อย่างเหมาะเจาะ … ไม่ว่าใครจะอึดมาจากไหนก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสู้กับคน 9 คนอย่างต่อเนื่องได้อย่างนี้หรอก”
“เขาไม่กลัวที่จะสู้กับคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าเลย  แต่การสู้กับผู้ฝึกดาบสักคนก็ยากพออยู่แล้ว”
“แต่เขาใช้วิธีอะไรในการเอาชนะล่ะ?”
“ความแข็งแกร่งและเทคนิคยังไงล่ะ, ดูเหมือนเขาจะสามารถค้นพบช่องว่างตรงกึ่งกลางระหว่างทั้งสองคน  รวมถึงลดการเคลื่อนไหวฟุ่มเฟือยของร่างกายช่วงล่าง  แต่การจะทำเช่นนี้ได้เขาจะต้องฝึกฝนร่างกายช่วงล่างมาเป็นระยะเวลาที่นานทีเดียวถึงจะทำเช่นนี้ได้”
“แล้วเขาสามารถสู้อย่างนั้นได้ยังไง?”
เหล่าผู้ฝึกดาบต่างก็เคยเห็นการฝึกฝนของลี ฮุน ในสมัยที่เขาเคยมาฝึกที่โรงฝึกเหมือนที่ จัง อิลฮุนและ อัน ฮุนโดก็เคยเห็นมาก่อน  อัน ฮุนโดมองการต่อสู้ของฮุนพร้อมกับพยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นเหตุให้เขามาสู้ที่นี่”
“มันคืออะไรหรือขอรับท่านอาจารย์?”
“เมื่อเจ้ารู้สึกเบื่อ , เจ้าก็จะรู้สึกอยากสู้กับใครก็ได้ยังไงล่ะ”
เหล่าผู้ฝึกดาบหันไปมองยังอัน ฮุนโด
“ถ้างั้นนี่เป็นเพียงแค่การผ่อนคลายของเขาอย่างนั้นหรือครับ ท่านอาจารย์?”
“เมื่อเจ้าได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้  มันรู้สึกดีที่ได้จับดาบและกวัดแกว่งมัน ใช่มั้ยล่ะ?”
“อืม, ผมคิดว่า…”
“บางครั้งข้าก็อยากจะต่อสู้โดยปราศจากเหตุผล  แต่เราไม่อยากให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าพวกนี้มาครอบงำเราหรอก  ทุกวันนี้ดาบถูกแขวนอยู่บนกำแพงก็เพราะมุมมองที่เรามีต่อตนเองมันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก  ณ ตอนนี้มีไม่กี่คนที่ยังมีสัญชาตญาณการล่าและจิตวิญญาณต่อสู้ราวกับสัตว์ร้ายอย่างนี้เหลืออยู่”
แคร้ง!
และแล้วก็เป็นอีกหนึ่งผู้ฝึกดาบที่ล้มลงต่อหน้าลี ฮุน, ลี ฮุนก้าวเข้าไปหาเขาพร้อมด้วยดาบไม้ในมือ
“หยุด, หยุดก่อน! ชั้นแพ้แล้ว”
ลี ฮุน หยุดดาบไว้เบื้องหน้าของผู้ฝึกดาบคนนั้น
“ใครเป็นคนต่อไป?”
ศักยภาพของลี ฮุน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก  เครื่องแบบของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อแนบเนื้อ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้ออกที่แข็งแกร่ง
หยาดเหงื่อไหลไปตามดาบไม้และหยดลงไปสู่พื้น  ทว่าเขากลับดูไม่เหนื่อยเท่าไร  เปลวเพลิงแห่งจิตวิญญาณนักสู้ฉายออกมาทางแววตาของเขา
มันเป็นดวงตาที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการล่า!
เพียงแค่เสียงคำรามอันเงียบงันของหมาป่าผู้โดดเดี่ยวก็สามารถสะกดการเคลื่อนไหวของผู้อื่นได้
นักดาบฝึกหัดกว่า 100 คนในโรงฝึกต่างรู้สึกราวกับโดนข่มขู่อยู่
“หลีกทางให้ชั้นหน่อย
“ไปตามครูฝึกมาที!”
เหล่าผู้ฝึกดาบไม่สามารถรับการท้าทายนี้ได้  ซึ่งชัง อิลฮุนได้แต่ส่ายหน้า
“ไอ้เจ้าพวกนี้นี่…”
“ครูฝึก!”
“ถ้ามีข่าวลือแพร่ออกไปว่าเขาชนะพวกเราพ่ายแพ้ถึง 10 คนคงทำให้ชื่อเสียงของโรงฝึกเราเสียหาย  ชั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเค้าเอง”
ชัง อิลฮุน จะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง  เขาเป็นผู้ที่ได้เหรียญเงินจากการแข่งขันทัวร์นาเมนท์ดาบชิงแชมป์โลกถึง 2 สมัย, เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบอย่างแท้จริง
เหล่าผู้ฝึกดาบไม่เคยเห็นเขาสู้กับใครจริงจังมาก่อน  พวกเขาเคยเห็นแต่ตอนที่ ชัง อิลฮุน สอนคนอื่นใช้ดาบคต่อสู้
‘ครูฝึกจะสู้ด้วยตัวเองแล้ว’
‘พวกเขาจะสู้กันจริงๆเหรอ?’
เหล่าผู้ฝึกดาบมองไปที่ลี ฮุนด้วยความกังวล  เขาควรจะยอมแพ้แล้วเลิกไปซะเพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหากเขาดึงดันที่จะสู้ต่อไป
พวกเขาพูดอะไรไม่ออก
ลี ฮุนชี้ปลายดาบไปยัง ชัง อิลฮุน ซึ่งพร้อมที่จะต่อสู้กับเขา
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายจับดาบของตนขึ้นมา, อัน ฮุนโดพลันตะโกนออกมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“แต่ท่านอาจารย์,  ถ้าเขาจากไปแบบนี้ ชื่อเสียงโรงฝึกของเราคง …”
“ข้ารู้ว่าเขาเอาชนะพวกเจ้ากว่า 9 คน  แต่เขาก็มาจากโรงฝึกของเราเช่นเดียวกัน  ดังนั้นนี่มันไม่ทำให้ชื่อเสียงของเราเสื่อมเสียหรอก”
“แต่ผมคิดว่า …”
“จริงๆแล้ว  การที่เจ้าจะไปสู้กับคู่ต่อสู้ที่เหนื่อยล้านี่สิกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราเสื่อมเสียยิ่งกว่า”
อัน ฮุนโดพยายามที่จะรักษาความสงบในโรงฝึก  การสู้กับนักเรียนด้วยกันเองกับการต่อสู้กับครูฝึกนั้นมีความหมายที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อเป็นเช่นนี้ ชัง อิลฮุน จึงได้ยอมถอยกลับไป  แต่ อัน ฮุนโดยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า
“พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าจะเป็นการยุติธรรมยิ่งกว่า หากให้คนแก่อย่างข้าไปสู้กับคู่ต่อสู้ที่เหนื่อยล้าเช่นนี้แทน?”
“ท่านอาจารย์!”
“อาจารย์ ท่าน…!”
ทั้งโรงฝึกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ถึงแม้ อัน ฮุนโด จะมีอายุแล้ว แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาอ่อนแอ
อัน ฮุนโดเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งดาบชิงแชมป์โลก สี่สมัยติดต่อกัน  เขาไม่ใช่คนที่ใครที่ไหนในประเทศนี้จะมาเอาชนะได้แม้ว่าเขาจะมีเพียงแค่ไม้เท้าอยู่ในมือก็ตาม
ทั้งโรงฝึกเงียบกริบมองตามดูอัน ฮุนโดเดินไปยังกลางโรงฝึก
“พวกเรากำลังจะได้เห็นการลงมือของ ปรมาจารย์ ด้านการใช้ดาบ ด้วยตาของเรา …”
‘นี่เป็นโอกาสที่อาจจะไม่มีอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้?’
เหล่านักฝึกดาบทั้งโรงฝึกต่างกลั้นหายใจต่อการเผชิญหน้ากันของนักสู้ทั้งสองฝ่าย  หากแม้นวิถีดาบของอัน ฮุนโดจะได้เผยประจักษ์แก่สายตาผู้คนแล้วละก็ มันก็ควรจะเป็นตามวิถีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  แต่นี่ผู้ฝึกสอนแต่ละคนต่างงุนงงต่อการกระทำของเขาเป็นยิ่งนัก
‘ถึงแม้ท่านอาจารย์จะสนใจในเด็กคนนั้น  แต่ชั้นไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะถึงขั้นลงมือด้วยตนเองอย่างนี้?’
‘ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป , จากนี้คงจะมีคนมาขอท้าประลองท่านตลอดแน่ๆเลย …’
อัน ฮุนโดเป็นความภาคภูมิใขของเกาหลีในเรื่องความสุดยอดในวิถีดาบของเขา แต่เขาไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นของเขาต่อเรื่องนี้เท่าไรนัก
ลี ฮุนได้เอาชนะคู่แข่งที่เป็นนักฝึกดาบมา 9 คนมาแล้วโดยที่  โดยมันก็มีระยะห่างช่วงใหญ่ระหว่างผู้ท้าทายกับ นักฝึกดาบ  และระยะห่างนั้นจะยิ่งมหาศาลมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนจากนักฝึกดาบเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมโดยตรงจาก อัน ฮุนโด
ไม่สำคัญว่า ลี ฮุนจะโค่นนักฝึกดาบมาได้กี่คน  เหล่าครูฝึกก็ไม่ได้รู้สึกเร้าใจหรือตื่นเต้นอะไรเท่าไรนัก พวกเขาเพียงแค่รู้สึกประทับใจความสามารถในเชิงดาบ, ความอึดที่เหลือเชื่อ และ จิตวิญญาณนักสู้ของเขาเท่านั้น
ชัง อิลฮุน คิด, แต่มันมีอีกปัญหาหนึ่งนี่สิ
อัน ฮุนโด จะลงมือต่อสู้ด้วยตนเอง
นี่เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยเป็นอย่างมาก
‘บางทีท่านอาจารย์ไม่ได้พูดจริงล่ะมั้ง?’
ชัง อิลฮุน ส่ายหัวไปมาด้วยความสับสน  อัน ฮุนโดแวะมาสัปดาห์ละครั้งเพื่อประลองกับเขาโดยใช้วิถีดาบของเขาในการสั่งสอน
ไร้ที่สิ้นสุด, หมดหวัง และ น่าเกรงขาม คือสิ่งที่เขาได้สัมผัส
อัน ฮุนโด ได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดแล้ว และก็มีเพียงผู้อยู่ภายใต้เขาเท่านั้นที่ได้สัมผัส  ชัง อิลฮุนไม่แม้แต่จะคิดฝันว่าเขาจะสามารถเข้าใกล้ความสำเร็จระดับนั้นได้แม้แต่น้อย  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อัน ฮุนโดจะแพ้
‘ชั้นไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้  เขาคงจะสู้ด้วยด้วยความสามารถระดับที่พอเหมาะกับเธอ  โชคดีนะ ลี ฮุน’
ดวงตาของ ชัง อิลฮุน เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในขณะที่เขาถอนหายใจออกมา
ความทรหดของ ลี ฮุนมาถึงขีดจำกัดแล้ว  ความมุ่งมั่นทำให้เขาสามารถมาถึงจุดนี้ได้  แต่อีกไม่นานมันจะพังทลายลง
ชัง อิลฮุน มองเห็นปัญหาของ ฮุน ในตอนนี้
ความอึดของเขาถูกใช้ไปกับนักฝึกดาบที่เขาได้ต่อสู้ด้วยไปจนหมดแล้ว  ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นนักดาบฝึกหัดคนไหนที่เขาได้สู้ด้วย  ร่างกายของ ลี ฮุนได้ถึงจุดสุดท้ายแล้วหลังจากที่ผ่านการต่อสู้มา 9 คน
ชัง อิลฮุน คิดว่าทักษะที่น่าประทับใจของ ฮุน ได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
‘ท่านอาจารย์แทบจะไม่ต้องทำอะไรก็โค่นเจ้าเด็กนั่นได้แล้ว  ร่างกายของเขามาถึงขีดสุดแล้ว’
ทว่า ชัง อิลฮุน คิดผิดถนัด
มันเป็นเหมือนการต้อนรับอันอบอุ่นเมื่อพวกเขาสบตากัน  พร้อมกับ อัน ฮุนโด ที่ได้กล่าวกับ ลี ฮุน
“เธอชอบใช้ดาบไม้งั้นรึ? ชั้นมีดาบไม้อยู่ในมือเหมือนกัน  แต่เธอไม่คิดว่าการสู้กันด้วยดาบจริงจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากกว่าหรือ?”

*************


<a href='https://ads.dek-d.com/adserver/adclick.php?n=a6753880' target='_blank'><img src='https://ads.dek-d.com/adserver/adview.php?what=zone:696&amp;n=a6753880' border='0' alt=''></a>

1 ความคิดเห็น: